ชื่อ : เสลดพังพอนตัวผู้

ชื่อสามัญ : Hop Headed Barleria , Hophead, Porcupine flower, Philippine violet

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Barleria lupulina Lindl.

ชื่อวงศ์ : ACANTHACEAE

ชื่อท้องถิ่น : เสลดพังพอนตัวผู้ พิมเสนต้น (ภาคกลาง), ก้านชั่ง (ภาคตะวันตกเฉียงเหนือ), คันชั่ง (ตาก), ชองระอา ช้องละอา ทองระอา ลิ้นงูเห่า (กรุงเทพฯ), อังกาบ อังกาบเมือง (ไทย), ด่อมะอ้าย (ปะหล่อง), ฉิกแชเกี่ยม ฮวยเฮียะแกโต่วเกียง (จีน), ฮวาเย่เจี่ยตู้เจียน ชีซิงเจี้ยน ชื่อเสี่ยฮวา (จีนกลาง) เป็นต้น

ลักษณะ

ต้นเสลดพังพอน(เสลดพังพอนตัวผู้) จัดเป็นพรรณไม้พุ่ม แตกกิ่งก้านสาขามาก มีความสูงได้ประมาณ 1-2 เมตร ลำต้นเป็นสีน้ำตาลอมเขียว ส่วนกิ่งและก้านเป็นสีน้ำตาลแดง ตามข้อของลำต้นและโคนก้านใบมีหนามแหลมคมและยาวสีน้ำตาลข้อละ 2 คู่ ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด เป็นพรรณไม้กลางแจ้งที่เจริญเติบโตได้ดีในดินที่ร่วนซุยและมีความชุ่มชื้น ในประเทศไทยสามารถพบได้ทั่วไป

 

ใบเสลดพังพอนใบเป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้ามกันเป็นคู่ ลักษณะของใบเป็นรูปรียาว ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 5-7 เซนติเมตร ผิวใบเกลี้ยง
พื้นใบเป็นสีเขียวเข้มและเป็นมัน เส้นใบและก้านเป็นสีแดง ก้านใบสั้น ยาวได้ประมาณ 5 มิลลิเมตร และโคนก้านมีหนามแหลม 1 คู่ โค้งงอ ยาวประมาณ 1-2 เซนติเมตร สีม่วงชี้ลง

 

ดอกเสลดพังพอนออกดอกเป็นช่อตั้ง โดยจะออกที่ปลายยอด ช่อดอกยาวได้ประมาณ 3-9 เซนติเมตร ช่อดอกอ่อนจะมองเห็นใบประดับรูปกลมรีขนาดประมาณ 1-2 เซนติเมตร หุ้มดอกไว้ภายใน ดอกจะมีใบประดับขนาดใหญ่เรียงกันเป็นรูปทรงกระบอกสีเขียว ใบประดับที่โคนเป็นสีเขียว ปลายใบประดับเป็นสีม่วง หรือทั้งใบประดับเป็นสีแดงอมเขียวหรือสีม่วงอมน้ำตาล รูปไข่เกือบกลม ปลายเป็นติ่งแหลม ส่วนกลีบเลี้ยงดอกจะมี 4 กลีบ
เรียงตรงข้ามเป็นคู่ ยาวประมาณ 8-1 เซนติเมตร คู่นอกจะมีขนาดใหญ่กว่าคู่ใน ปลายเป็นติ่งหนาม เมื่อดอกโตเต็มที่ ดอกจะโผล่เลยกลีบประดับออกมา โดยกลีบดอกจะเป็นสีเหลืองหรือสีส้ม กลีบดอกคล้ายรูปปากเปิด
มี 5 กลีบ ที่โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอด ยาวประมาณ 3 เซนติเมตร ปลายแยกเป็น 2 ปาก แบ่งเป็นปากบนมีกลีบมนขนาดใหญ่ ซึ่งส่วนใหญ่จะมี 4 กลีบ เรียงซ้อนแผ่ชิดกัน บานแผ่ออก ยาวประมาณ 1-2 เซนติเมตร และกลีบล่างอีก 1 กลีบ ที่มีขนาดเล็กกว่าและพับงอเล็กน้อย กลีบดอกจะหลุดร่วงได้ง่าย ดอกมีเกสรเพศผู้ 2 อัน ยาวได้ประมาณ 2 เซนติเมตร ยื่นพ้นจากปากหลอดกลีบดอก มีเกสรเพศผู้ที่เป็นมัน 2 อัน สั้น ๆ รังไข่มี 2 ช่อง ส่วนก้านเกสรเพศเมียยาว โดยจะยาวได้ประมาณ 3 เซนติเมตร

ผลเสลดพังพอนผลมีลักษณะเป็นฝักรูปมนรี รูปไข่หรือแกมรูปขอบขนาน ลักษณะแบนและยาวประมาณ 5 เซนติเมตร เมื่อแห้งแล้วจะแตกออกเป็น 2 ซีก ภายในฝักมีเมล็ดประมาณ 2-4 เมล็ด (ซีกละ 1-2 เมล็ด)

 

ประโยชน์

  1. ใบเสลดพังพอนมีรสจืดเย็น ใช้เป็นยาทะลวงลมปราณ แก้โรคเบาหวาน รักษาโรคคางทูม ช่วยถอนพิษไข้ พิษไข้ทรพิษ แก้ปวดฟัน เหงือกบวม แก้ริดสีดวงทวาร ชาวปะหล่องจะใช้ใบนำมาต้มกับน้ำกินเป็นยาช่วยลดอาการจากไข้มาลาเรีย (มีรสขมมาก) ตำรายาไทยจะใช้ต้มกับน้ำกินเป็นยาทำให้เลือดไหลเวียนได้ดี แต่จะนิยมใช้ใบสดนำมาตำให้ละเอียดผสมกับเหล้าแล้วคั้นเอาน้ำดื่ม ส่วนกากเอามาพอกหรือทาเป็นยาแก้ลมพิษ รักษาเม็ดผื่นคันตามผิวหนัง แก้ไฟลามทุ่ง แก้ขยุ้มตีนหมา แก้โรคเริม แก้เริมบริเวณผิวหนัง งูสวัด ช่วยถอนพิษจากเม็ดตุ่มฝีดาษ รักษาโรคฝีดาษ แก้ฝีที่ฝ่ามือ แก้แผลกลาย เป็นยาถอนพิษ แก้พิษงูกัด พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย เช่น แมงป่อง ตะขาบ ผึ้งช่วยถอนพิษอักเสบจากแมลงสัตว์กัดต่อย (ใช้ใบสดครั้งละ 1 กำมือ นำมาตำให้ละเอียด หรือจะแทรกด้วยพิมเสนเพียงเล็กน้อยด้วยก็ได้ แล้วนำมาทาหรือนำมาผสมกับเหล้าแล้วพอกบ่อย ๆ บริเวณที่เป็น) หรือใช้เป็นยาแก้ฟกช้ำ เคล็ดขัดยอก ช่วยรักษาแผลฟกช้ำจากการกระทบกระแทก แผลสุนัขกัด แผลจากของมีคมบาด หรือแผลมีเลือดออก (ช่วยห้ามเลือด) ช่วยแก้ปวดแผล
    แก้อาการปวดจากปลาดุกแทง รวมไปถึงแก้พิษจากไฟลวก น้ำร้อนลวก แก้ยุงกัด แก้ฝีหนอง และแก้โรคฝีต่าง ๆ เพียงใช้ใบสดประมาณ 2-10 ใบ นำมาขยี้หรือตำให้แหลกใช้เป็นยาพอกหรือผสมกับเหล้าตำพอกบริเวณที่เป็น ส่วนชาวโอรังอัสลีในรัฐเประที่ประเทศมาเลเซียจะใช้ใบสดเป็นยากำจัดหูด
  2. รากเสลดพังพอนมีรสจืด ใช้เป็นยาแก้ตาเหลือง หน้าเหลือง เมื่อยตัว กินข้าวไม่ได้ แก้อาการเจ็บท้อง แก้ผิดอาหาร แก้ปวดฟัน ใช้ฝนกับเหล้าดื่มและทาแก้พิษงู ถอนพิษตะขาบ แมงป่อง แมลงสัตว์กัดต่อย
    ในมาเลเซียจะใช้สมุนไพรเสลดพังพอนเป็นยาแก้ปวดฟันและแก้งูกัด ส่วนในประเทศไทยจะใช้เป็นยาแก้พิษจากงูเห่ากัด โดยใช้ตำพอกปากแผลส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งใช้ผสมกับเหล้ากินเพื่อเป็นการช่วยยืดเวลา
    ก่อนที่จะไปหาหมอ(ไม่ระบุส่วนที่ใช้)

แหล่งอ้างอิง

medthai.com/เสลดพังพอนตัวผู้/