![](https://localhost/webteaoil/wp-content/uploads/2019/09/1515151.jpg)
ชื่อสามัญ : Chia Seeds
ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า : Salvia Hispanica L.
ชื่อวงศ์ : Lamiaceae
ชื่ออื่นๆ : เจีย, ชีอา, ชิอา
เจีย เป็นพืชล้มลุกที่มีอายุเพียงฤดูเดียว มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนของประเทศเม็กซิโก กัวเตมาลา และโบลิเวีย พบเจริญเติบโตได้มากในบริเวณหุบเขาที่อยู่เหนือหรือต่ำกว่าเส้นศูนย์สูตรประมาณ 15-20 องศา เป็นพืชที่ชาวเม็กซิโกและโบลิเวียนิยมมารับประทานเป็นอาหารนานกว่า 5,000 ปีแล้ว สำหรับในประเทศไทยจะปลูกกันมากที่จังหวัดลำปาง และกาญจนบุรี
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :
เจีย เป็นพืชในตระกูลเดียวกันกับต้นกะเพรา หรือมิ้นต์ มีขนาดของลำต้นสูงประมาณ 4-6 ฟุต เจริญเติบโตได้ดีในสภาพอากาศที่หนาวเย็น มีเมล็ดเรียวยาวสีน้ำตาลอมเทาคล้ายเม็ดแมงลักมาก แต่เม็ดแมงลักจะมีสีดำเข้มและขนาดเล็กกว่า หากนำมาแช่น้ำเมล็ดเจียจะพองตัวเป็นเมือกใสๆ ส่วนเม็ดแมงลักจะเป็นเมือกสีขาวขุ่น
![](https://localhost/webteaoil/wp-content/uploads/2019/09/IMG_0419-Custom.jpg)
ต้นเจียจะเจริญเติบโตได้ดีในดินเหนียวปนทรายที่มีความอุดมสมบูรณ์ สามารถระบายน้ำได้ดี หรือในพื้นที่ที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 800-2,200 เมตร ไม่ชอบน้ำท่วมขัง ทนทานต่อสภาพแห้งแล้งได้ดี ในดินที่เป็นกรดและแห้งจะเจริญได้ปานกลาง ฤดูที่เหมาะสมในการเพาะปลูกควรอยู่ในช่วงฤดูแล้งประมาณเดือนพฤษภาคม หากปลูกในช่วงฤดูฝนอาจทำให้เมล็ดพองตัวจนเกิดความเสียหายได้ หลังจากปลูกไปประมาณ 4 เดือน ก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้แล้ว ซึ่งจะอยู่ในช่วงเดือนกันยายน
ในระยะแรกของการเจริญเติบโตพืชชนิดนี้มักต้องการดินที่มีความชุ่มชื้น ควรรดน้ำให้อย่างสม่ำเสมอแต่ไม่ถึงกับแฉะ เมื่อต้นแข็งแรงดีแล้วก็ไม่จำเป็นต้องให้น้ำมากจนเกินไป ในใบของต้นเจียจะมีกลิ่นน้ำมันที่สามารถขับไล่แมลงได้ จึงไม่ค่อยมีโรคและแมลงมารบกวน มักนิยมเพาะปลูกแบบไม่ต้องตัดต่อพันธุกรรม
วิธีการเพาะ
นำทิชชูวางในถาดเพาะ โดยซ้อนทับกันประมาณ 2-3 ชั้น แล้วโรยเมล็ดเจียลงไปให้ทั่วถาด พรมน้ำแค่พอชุ่มเช้าเย็น ไม่ควรให้มีน้ำขัง อีกประมาณ 4 วัน ก็สามารถนำต้นอ่อนมารับประทานได้แล้ว ซึ่งในต้นอ่อนจะมีสารอาหารมากกว่าพืชที่โตเต็มที่แล้วประมาณ 3-4 เท่า
![](https://localhost/webteaoil/wp-content/uploads/2019/09/IMG_0413-Custom.jpg)
ประโยชน์ที่นำมาใช้
ในเมล็ดเจียจะมีน้ำมันโอเมก้า3 อยู่สูงมาก จึงช่วยในการบำรุงสมอง จอประสาทตา ช่วยลดไขมันในเลือด ป้องกันโรคหัวใจ บรรเทาอาการปวดของโรครูมาตอยด์ มีแคลเซียมที่ช่วยทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง มีสารโบรอนที่ช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้น เมื่อรับประทานเป็นประจำจะช่วยเสริมสร้างกระดูกใหม่อยู่เสมอ เมื่อนำมาแช่น้ำให้พองตัวขึ้นแล้วใช้รับประทาน จะมีกากใยอาหารที่ช่วยให้ขับถ่ายได้สะดวก ช่วยชะลอการเปลี่ยนอาหารประเภทแป้งให้เป็นน้ำตาลได้ช้าลง เหมาะสำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน มีโปรตีนที่ช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซมกล้ามเนื้อที่สึกหรอ เมล็ดเจียสามารถอุ้มน้ำไว้ได้สูง จึงทำให้ร่างกายสดชื่นไม่ขาดน้ำ ช่วยลดปัญหาของผู้ที่มีอาการของกรดไหลย้อน อาหารไม่ย่อย มีกรดแก๊สสูงในกระเพาะอาหาร มีพลังงานที่ทำให้รู้สึกอิ่มได้นานจึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักได้เป็นอย่างดี ในปัจจุบันนิยมนำไปสกัดเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางบำรุงผิว ทำให้ผิวชุ่มชื้น ช่วยชะลอความเสื่อมผิว
นอกจากนี้ก็ยังมีสารอาหารพวกไขมัน เหล็ก แมกนีเซียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส ซิงก์ โซเดียม วิตามินเอ วิตามินบี1, 2, 3และบี6 โฟเลต กรดไขมันชนิดอิ่มตัวและไม่อิ่มตัว เส้นใยอาหาร น้ำมันโอเมก้า6 สังกะสี ทองแดง แมงกานีส คอเลสเตอรอล และเถ้า ซึ่งล้วนมีประโยชน์ต่อร่างกาย นับเป็นพืชอาหารและพืชสมุนไพรที่ดีอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งในกลุ่มนักกีฬาและคนรักสุขภาพจะนิยมกันมาก
![](https://localhost/webteaoil/wp-content/uploads/2019/09/istock_000023312630_medium.jpg)
ในอดีตชาวอินเดียนแดงและชาวแอซเท็ก ได้นำเมล็ดเจียมาผสมกับข้าวโพด ถั่ว ผักโขม เพื่อใช้เป็นอาหาร และใช้เป็นยารักษาโรคมานานแล้ว รวมทั้งใช้ประกอบในพิธีกรรมต่างๆ ใช้แลกเปลี่ยนสิ่งของกัน และการออกรบทำสงครามกันในสมัยก่อนก็ยังนิยมใช้เมล็ดเจียเป็นเสบียงอาหารเพื่อบำรุงกำลังและช่วยซ่อมแซมร่างกายเมื่อได้รับบาดเจ็บด้วย